เรือยางราคาถูก ช่วยได้มากยามน้ำท่วม

เรือยางราคาถูก แลกกับไม่ต้องเดินลุยน้ำ
น้ำท่วมหนักรอบนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ รู้แต่ว่าพากันเดือดร้อนสาหัสกันไม่น้อยเลยทีเดียว บ้านเรือนละแวกที่น้ำท่วมหนักทีเดียวไปเลยก็แล้วไป เพราะผู้คนยังงัยก็ต้องอพยพไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย แต่ไอ้ประเภทท่วมครึ่งๆ กลางๆ นี่สิ สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของบ้านไม่น้อย จะอพยพหนีไปอยู่ที่อื่นก็เป็นห่วงบ้าน จะไม่ไปก็ลำบากในการใช้ชีวิต มากๆ ในจะการกินอยู่ เพราะส่วนใหญ่ไฟฟ้าก็ต้องถูกตัดไปก่อน เพื่อความปลอดภัย น้ำประปาก็ไม่ไหล น้ำกินแลอาหารก็อัตคัด เพราะผมเคยเจอเหตุการณ์นี้ด้วนตนเองเมื่อปี 2554 มาแล้ว เพียงแต่โชคดีอยู่หลายๆ เรื่องที่แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหนักแต่ไม่ค่อยเดือดร้อนเหมือนชาวบ้านเขาดังนี้


1 ที่บ้านของผมตอนเริ่มสร้างบ้าน แม่ถมดินไว้สูงกว่าพื้นเดิมมาก ถมดินสูงกว่าแนวถนนเล็กน้อย และไม่อยู่ในทำเลที่ขวางทางน้ำ น้ำจึงไม่ท่วมบ้าน เห็นมาหลายที่และหลายครั้งแล้ว ถ้ามีน้ำท่วมใหญ่ ส่วนมากบ้านที่อยู่ต่ำกว่าถนนมักจะเดือดร้อนก่อน บ้านที่อยู่ระดับเดียวกับถนนหรืออยู่สูงกว่าจะไม่ค่อยเดือดร้อนมากนัก เพราะส่วนใหญ่ถนนนี่แหละที่ทำตัวเป็นสันเขื่อนกักเก็บน้ำให้ระบายไม่ได้ ระดับน้ำจึงมักสูงสุดเพียงแค่ระดับถนน พอน้ำสูงกว่าระดับถนนเมื่อไร ก็จะระบายแบ่งมวลน้ำไปที่อื่นได้จึงมักไม่ค่อยมีน้ำสูงกว่าระดับแนวถนนและอาจจะยกตัวขึ้นมาอีกนิดหน่อย ยกเว้นมีมวลน้ำมามากจริงๆ และมีระดับถนนสายอื่นที่สูงกว่าดักน้ำอยู่อีกชั้นหรือหลายๆ ชั้น อย่างนี้มันก็สุดวิสัย

2 ถึงแม้ว่าน้ำจะไม่ท่วมบ้าน แต่ก็เจอปัญหาไฟฟ้าดับเหมือนบ้านอื่นๆ เขาเหมือนกัน  โชคดี ที่ติดตั้งโซล่าเซลผลิตไฟฟ้า ตอนนั้นติดตั้งไว้ 3 แผง จึงไม่เดือดร้อนเรื่องไฟฟ้าใช้ สามารถเปิดไฟสว่าง ดูทีวีโดยเฉพาะข่าวช่อง3 ฟังวิทยุ ชาร์จโทรศัพท์ สามารถติดตามข่าวสารได้ตลอดเวลา และมีชีวิตที่ไม่ลำบากเหมือนเพื่อนบ้านเขามากนัก สนใจเรื่องโซล่าเซลคลิ๊กไปอ่านได้ที่ กรีนพาวเวอร์ ขายโซล่าเซลและกังหันลมผลิตไฟฟ้า

3 ถึงแม้ว่าน้ำไม่ท่วมบ้าน แต่รอบๆ บ้านก็เป็นทะเล มองไปทางไหน ก็น้ำทั้งนั้น  จะออกไปไหนไม่ได้เหมือนกัน ถ้าจะออกจากบ้านก็หมายความว่าต้องลุยน้ำอย่างเดียว โชคดีประการที่ 3 ที่ที่บ้านมีเรือยางราคาถูกๆ ของจีน ราคาลำละ สองพันกว่าบาท สามารถนั่งได้ 2-4 คน ปกติผมมีไว้ไปพายตกปลาสนุกๆ ในลำคลอง แต่ไปไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่เวลาเพื่อนฝูงมาเยี่ยมจึงจะไปพายเรือกันซักครั้ง ส่วนใหญ่จึงถอดเก็บไว้ในลัง ก็ได้เวลาเอามาปั๊มลมช่วยแก้ปัญหาเวลาเดินทาง ดีกว่าต้องเดินลุยน้ำเป็นไหนๆ ผมเองก็ไม่ใช่คนพายเรือแก่ง ถ้าใช้ไม้พายอันเดียว เรือก็จะหมุนเป็นวงกลม ต้องอาศัยใช้พาย 2 อัน พายมันทั้ง 2 ข้าง เรือก็จะไปตรงและบังคับเลี้ยวได้ง่าย หรือถ้าพายกัน 2 คน หัวคนท้ายคน พายกันคนละข้างของเรือ เรือก็จะวิ่งฉิวเลยทีเดียว ถือว่าใช้ได้ง่ายพอสมควร และไม่เกะกะบ้านยามไม่ใช้งานเพราะเพียงแค่ปล่อยลมออกให้หมด ก็เก็บลงลังได้แล้ว  สนใจเรื่องเรือยางราคาถูกคลิ๊กไปอ่านได้ที่ โบ๊ท&แคนูช็อป ร้านขายเรือราคาไม่แพง

4 ที่บ้านของผมเริ่มสต็อกอาหารแห้ง และอาหารสดตั้งแต่ช่วงที่ฝนตกหนักติดต่อกัน 2-3 วันแล้ว เพราะรู้ว่าภูมิประเทศในตัวตลาดของอำเภอที่บ้านผม ส่วนใหญ่มีสิ่งก่อสร้างขวางทางระบายของน้ำมากมาย ทั้งถนนเอย บ้านเรือนเอย แค่ฝนตกหนักๆ ก็มีปัญหาการระบายน้ำไม่ทัน มีน้ำท่วมให้เห็นแล้ว ดังนั้นเรื่องอาหารจึงไม่ลำบากต่อให้น้ำท่วมเป็น 10 วันก็ตาม

5 โชคดีมากที่สุดก็คือละแวกที่บ้านผมตั้งอยู่ อยู่ใกล้ทะเล น้ำจึงไหลลงทะเลได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่สะดวก จึงมีน้ำท่วมไม่มากและรุนแรง เพราะสาเหตุจริงๆ ที่น้ำท่วมคือ มีถนนสายหลักขวางทางน้ำอยู่ตลอดเส้นทางเลย ระยะทางร่วม 10 กิโลเมตร มีสะพานสั้นๆ 2 แห่ง และมีช่องที่ทำเป็นทางข้ามของน้ำไหลลงทะเลอีก 1 แห่ง รวมเป็น 3 ช่องสั้นๆ พอมีมวลน้ำมหาศาลไหลมา จึงระบายไม่ทัน ถนนก็เลยเป็นสันเขื่อนกักเก็บน้ำได้เป็นอย่างดี เคยคิดเล่นๆ จะเอากังหันน้ำมาผลิตไฟฟ้าให้ชาวบ้านใช้งานยามวิกฤตแบบนี้ แต่จุดที่มีสะพานก็อยู่ห่างไกลชุมชุน ลากสายไฟกันไม่ไหวแน่ๆ เลยล้มเลิกความคิด

6 ตอนนี้ก็เพิ่งไปซื้อที่ดินแปลงใหม่ อยู่หน้าทะเลเลย เป็นทำเลบนหลังเต่า สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ละแวกแถวนั้น บอกที่นั่นยังไม่เคยเจอน้ำท่วมเลย เพราะไม่ว่าน้ำจะมามากขนาดไหนก็ไหลลงทะเลหมด ขนาดตอนพายุใหญ่เมื่อคราวแหลมตะลุมพุกขึ้นฝั่งที่นครศรีธรรมราช และพายุเกย์ขึ้นที่รอยต่อของชุมพรและประจวบฯ มีน้ำทะเลเอ่อขึ้นสูงมาก แต่ที่นั่นน้ำก็ยังท่วมไม่ถึง กะว่าจะสร้างบ้านกึ่งออฟฟิศใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซล่าเซลและกังหันลมผลิตไฟฟ้าใช้เองแบบ 100% โดยไม่ต้องใช้ไฟหลวง ตอนนี้ก็ให้ช่างเขาเขียนแบบบ้านเสร็จแล้ว รอสร้างกะว่าประมาณปีหน้า เพราะต้องหาเงินสำรองไว้ก่อน โชคดีอาจจะไม่ต้องกู้แบ็งค์ หรือถ้าต้องกู้ก็คงไม่มาก เพราะทุกอย่างผมวางแผนและเตรียมงานไว้เป็นขั้นตอนไว้ก่อนแล้ว

เห็นไหมครับ ธรรมชาติและความเดือดร้อน เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนับวันจะทวีความรุนแรงและบ่อยขึ้น เพราะมนุษย์มีมากขึ้น ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองแบบรุนแรงด้วย ทั้งป่า หนอง คลอง บึง ที่กักเก็บน้ำตามธรรมชาติ ปัจจุบันหายไปแทบหมดสิ้น พากันโค่น พากันถางป่า พากันถมที่ต่ำ สร้างเมืองที่เห็นกันว่าศิวิไลซ์ สะดวกสบาย สุดท้าย เราก็แพ้ภัยตัวเอง ถ้าจะลดปัญหาภัยธรรมชาติอย่างได้ผล ผมว่าสิ่งแรกที่ต้องทำ คือต้องลดจำนวนทรัพยากรมนุษย์โลก ยิ่งมีคนน้อยเท่าไร โลกก็ยิ่งน่าอยู่มากขึ้น ลองถามรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราดูซิครับ ผมจำได้สมัยตอนเด็กๆ อยู่ชั้นประถมต้น ครูให้ท่องประชากรไทยมีประมาณ 23 ล้านกว่าคน เปรียบเทียบกับสมัยนี้ที่ใกล้ๆ 70 ล้านคนในอีกไม่กี่วัน จำได้ความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นดีกว่าทุกวันนี้เยอะ ไม่ต้องถูกพรากลูก ถูกพรากความอบอุ่นในครอบครัว ลูกก็ต้องไปเรียนต่างแดน ง่ายที่สุดก็ต้องตื่นกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ส่องแสง ไม่อย่างนั้นขึ้นรถไปโรงเรียนไม่ทัน หรือไม่ก็ต้องส่งไปอยู่โรงเรียนแบบประจำซะเลย เพราะโรงเรียน(ดีๆ) อยู่ไกลบ้านเหลือเกิน พ่อก็ต้องไปทำงานทางนึง แม่ก็ต้องไปอีกทางนึง ปู่ย่าตายายก็นั่งเฝ้าบ้านอยู่ตามลำพังตามบ้านนอก เพราะลูกหลานต้องอพยพไปทำงานในเมือง  สิ่งที่เพิ่มขึ้นก็เห็นมีแต่รายรับแต่จริงๆแล้วก็แทบจะไม่พอกับรายจ่ายเลย ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับวิถีชีวิตของคนสมัย 30-40 ปีที่แล้ว ภัยธรรมชาติแบบน้ำท่วมหนักๆ สมัยผมเด็กๆ แทบไม่เคยได้ข่าวภัยพิบัติประเภทน้ำท่วมรุนแรงเลย จะบอกว่าผมอยู่ห่างไกล ไม่ถึงข้อมูลข่าวสารก็ไม่ใช่ เพราะที่บ้านผมสมัยนั้นก็มีทีวีดู และที่บ้านก็รับหนังสือพิมพ์มาอ่านทุกวัน

เฮ้อ วันนี้ตั้งใจเขียนเรื่องอะไรนี้ สมองพาไปเรื่อยเปื่อย นิ้วก็จิ้มตามไปเรื่อยๆ นี่ถ้าต่อไปเครื่องคอมฯ ฉลาดขึ้นขนาดที่เราคิดอะไร แล้วมันพิมพ์ให้เลยทันทีโดยเราไม่ต้องจิ้ม สงสัยผมคงมีเรื่องเขียนยาวเหยียดในแต่ละตอนแน่ๆ อย่างว่า คนเราพอมีอายุมากขึ้น ประสบการณ์และมุมมองก็มากขึ้น ใครว่าคนกำลังจะแก่ หรือแก่แล้วไม่มีประโยชน์ เพียงแต่เราต้องดึงส่วนที่เป็นประโยชน์มาใช้ให้ถูกกับยุคสมัย แล้วอะไรๆ ก็จะกลมกลืนเข้ากันได้ไปเอง จริงไหม 555  สรุปให้นิดนึงสำหรับท่านที่อ่านแล้วอาจจะงงๆ ว่าผมต้องการสื่ออะไรในวันนี้ คือผมบอกว่า เราหลีกหนีธรรมชาติไม่ได้หรอกครับ ยิ่งเราฝืน(ทำลาย)ธรรมชาติมากเท่าไร สุดท้ายธรรมชาติก็จะมาเอาคืน เพื่อกลับคืนสู่ความสมดุลย์ตามธรรมชาติ ยิ่งเราฝืนและต่อต้านธรรมชาติมากเท่าไร ภัยธรรมชาติก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น เราก็เปรียบเสมือนกรวดทรายเม็ดเล็กๆ ที่แทบไม่มีความสำคัญในสังคมขนาดใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก ดังนั้นการจะไปเปลี่ยนความคิดใครให้ใช้ชีวิตอยู่กับความสมดุลย์ตามธรรมชาติจึงเป็นไปไม่ได้ เมื่อเรารู้ว่าธรรมชาติไม่สมดุลย์ ก็ต้องมีภัยธรรมชาติมาสร้างความสมดุลย์ ดังนั้นวันนี้เราต้องอยู่อย่างเตรียมตัวรับภัยที่จะถูกปรับให้กลับสู่ความสมดุลย์จากธรรมชาติด้วย แล้วความเดือดร้อนที่คนอื่นได้รับอย่างสาหัส เราก็จะได้รับแค่พอแสบๆคันๆ ส่วนจะไม่ได้รับผลกระทบเลยคงเป็นไปได้ยากแล้วละครับ
ข้อมูลโดย
ก้าวหน้าดอทคอม


ความคิดเห็น